วันเสาร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2556

บุคคลสำคัญทางดนตรีสากล

 

กุสตาฟ มาห์เลอร์

ประวัติ
กุสตาฟ มาห์เลอร์ เกิดในครอบครัวชาวยิวในเมืองคาลิชท์ แคว้นโบฮีเมีย บิดามารดาของเขาได้ย้ายไปอยู่ที่เมืองจิห์ลาวา แคว้นโมราเวีย จักรวรรดิออสโตร-ฮังกาเรียน ซึ่งมาห์เลอร์ได้ใช้เวลาในวัยเด็กส่วนใหญ่ที่นั่น หลังจากที่บิดามารดาของมาห์เลอร์ได้สังเกตเห็นความสามารถทางดนตรีของเขา ตั้งแต่วัยเด็ก จึงจัดการให้เขาได้เรียนเปียโนตั้งแต่อายุหกขวบ ในปีค.ศ. 1875 มาห์เลอร์ผู้ซึ่งขณะนั้นมีอายุได้ 15 ปี ได้รับให้เข้าศึกษาในวิทยาลัยดนตรีแห่งกรุงเวียนนา ที่ซึ่งเขาได้เรียนเปียโนกับจูเลียส เอปสไตน์ สามปีต่อมา มาห์เลอร์ได้เข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยเวียนนา ที่ซึ่งอันโตน บรูคเนอร์เป็นอาจารย์ประจำอยู่ ในระหว่างเรียนในมหาวิทยาลัย เขาได้ทำงานเป็นครูสอนดนตรีไปด้วย และได้ลองประพันธ์เพลงเป็นครั้งแรก กับเพลงร้องที่มีชื่อว่า Das klagende Lied ซึ่งตอนหลังได้เปลี่ยนรูปแบบมาเป็นคันตาต้า ได้ส่งเข้าประกวดแต่ประสบกับความล้มเหลวโดยสิ้นเชิง

คาร์ล ออร์ฟ

คาร์ล ออร์ฟ (Carl Orff) คีตกวีชาวเยอรมัน เกิดที่นครมิวนิค เมื่อวันที่10 กรกฎาคม ค.ศ. 1895 เสียชีวิตเมื่อวันที่ 29 มีนาคม ค.ศ. 1982 ที่นครมิวนิคเช่นกัน ออร์ฟเป็นหนึ่งในคีตกวีที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในคริสต์ศตวรรษที่ 20 ความสำเร็จของเขามีอิทธิพลอย่างมากในสาขาดนตรีศึกษาอีกด้วย เขาเป็นที่รู้จักจากผลงานประพันธ์เพลง คาร์มินา บูรานา ในปีค.ศ. 1937
ออร์ฟเชื่อว่าดนตรี(Music) การเคลื่อนไหว(Movement)และการพูด(Speech) เป็นสิ่งที่แยกออกจากกันไม่ได้ ทั้งสามสิ่งรวมกันเป็นเอกภาพ(Unity) ซึ่งออร์ฟเรียกว่า “ดนตรีเบื้องต้น”(Elelmental Music) คำว่า ”ดนตรีเบื้องต้น” นี้ ออร์ฟหมายถึง การแสดงออกทางดนตรีของบุคคลที่เป็นไปโดยธรรมชาติ ออร์ฟได้สังเกตจากเด็กในสภาวะแวดล้อมปรกติไม่มีกฎเกณฑ์อะไรบังคับ เด็กจะใช้ดนตรี การเคลื่อนไหว และภาษาพูดไปพร้อมกัน เด็กที่กำลังเต้นรำจะร้องเพลงไปด้วย เมื่อเด็กร้องเพลงเขาก็มักจะเคลื่อนไหวไปตามจังหวะเสียงเพลง

ฌอร์ฌ บีแซ

ประวัติ
ฌอร์ฌ บีแซ เกิดที่กรุงปารีส ในปี พ.ศ. 2381 (ค.ศ. 1838) บิดาเป็นอาจารย์สอนขับร้อง มารดาเป็นนักเปียโนสมัครเล่น เสียชีวิตที่บูฌีวาล ในปี พ.ศ. 2418 (ค.ศ. 1875)
บีแซเมีความสามารถทางดนตรีตั้งแต่วัยเด็ก และได้เข้ารับการศึกษาที่วิทยาลัยดนตรีและนาฏศิลป์ชั้นสูงแห่งชาติ ณ กรุงปารีส เมื่อมีอายุได้ 19 ปี เขายังได้รับรางวัลทางดนตรีมากมาย ทั้งการแข่งขัน โซลเฟจ เปียโน ฟิวก์ และออร์แกน
แม้กระทั่งวันนี้ ผลงานประพันธ์อุปรากรเรื่อง การ์เมน ก็ยังเป็นหนึ่งในอุปรากรที่มีการแสดงมากที่สุดเรื่องหนึ่งในโลก



จอร์จ เฟรดริก ฮันเดล

ประวัติ
บิดาของฮานเดิลชื่อเกออร์ก เฮนเดิล เกิดเมื่อปีค.ศ. 1622 เป็นศัลยแพทย์และช่างโกนหนวด นับถือนิกายลูเทอแรน และกลายเป็นพ่อหม้ายเมื่อปีค.ศ. 1682 เขาแต่งงานในปีต่อมากับโดโรเธอา เทาสท์ บุตรีของปาสเตอร์ที่อ่อนกว่าเขาหลายปี จอร์จ เฟรดริก เป็นบุตรชายคนโตของทั้งสอง และมีน้องสาวอีกสองคน
บิดาใฝ่ฝันให้ฮันเดลประกอบอาชีพทางด้านกฎหมาย แม้ว่าเขาจะแสดงให้เห็นถึงความสามารถโดดเด่นเกินวัยทางดนตรีก็ตาม พ่อยอมให้ฮันเดลเรียนดนตรีอย่างเสียไม่ได้ กับนักจัดแสดงดนตรีชื่อเฟรดริก วิลเฮล์ม ซาโชว ผู้ซึ่งได้ถ่ายทอดความรู้ทางดนตรีให้แก่ฮันเดลอย่างสมบูรณ์แบบ เขาหัดเล่นฮาร์ปซิคอร์ด ออร์แกน ไวโอลิน และโอโบ เขาเริ่มประพันธ์เพลงสำหรับเครื่องดนตรีและสำหรับขับร้องตั้งแต่วัยเยาว์ ในปีค.ศ. 1697 ขณะพำนักอยู่ที่นครเบอร์ลิน เขามีโอกาสได้พบกับกษัตริย์แห่งปรัสเซีย แต่เขาก็กลับมาที่เมืองฮัลล์ตามคำขอของบิดา ผู้ซึ่งเสียชีวิตเพียงสี่วันก่อนที่เขาจะเดินทางกลับถึงบ้าน เพื่อแสดงความเคารพต่อบิดา เขาก็ได้เขารับการศึกษาในสถาบันแห่งหนึ่ง พร้อมไปกับการเล่นดนตรี ราวปีค.ศ. 1702 เขาได้รับตำแหน่งในมหาวิหารเมืองฮัลล์ ในฐานะผู้จัดการแสดง และได้มีโอกาสผูกมิตรกับจอร์จ ฟิลิปป์ เทเลมันน์

ฌัก ออแฟนบัก

ประวัติ
ออแฟนบักเข้าเรียนเชลโล ที่วิทยาลันดนตรีและนาฏศิลป์ชั้นสูงแห่งกรุงปารีส และได้เริ่มต้นอาชีพเป็นนักดนตรีเอกที่เล่นเดี่ยว ต่อมาได้เข้าร่วมวงออเคสตราของ โอเปร่า-โคมิค และที่ โรงละครชวนหัวฝรั่งเศสในกรุงปารีส ในปี พ.ศ. 2398 (ค.ศ. 1855) เข้าได้สร้างโรงละครส่วนตัวขึ้นเพื่อจะไว้เป็นที่เปิดแสดงผลงานที่เขาประพันธ์ขึ้นเอง เขาได้ทำงานกับอ็องรี เมลัก และลุดวิก อาเลวี นักประพันธ์ละครสั้น ผลงานของเขาได้แสดงถึงความกินดีอยู่ดีของประชาชนในสมัยจักรวรรดิที่สองของฝรั่งเศส ที่เต็มไปด้วยอารมณ์ขัน จนแทบจะมีแต่เรื่องไร้ศีลธรรมและออกแนวอื้อฉาว (การขอโทษต่อฉากรักสามเส้าในเรื่อง ลาแบเลแลน และฉากการนอกใจในเรื่อง ออร์เฟโอซองแฟร์)

ชาร์ล กูโน

ประวัติ
กูโนเข้ารับการศึกษาที่วิทยาลัยดนตรีแห่งกรุงปารีส และได้รับรางวัลโรมไพรซ์ในปี พ.ศ. 2380 (ค.ศ. 1837) ซึ่งเขาได้ถือโอกาสพำนักที่วิลลาเมดีชี ประเทศอิตาลี เพื่อศึกษาทางดนตรี โดยเฉพาะอย่างยิ่งดนตรีทางศาสนา
ในปี พ.ศ. 2402 (ค.ศ. 1859) อุปรากรเรื่อง เฟาสท์ ซึ่งเป็นผลงานการประพันธ์ของเขา ก็ได้ถูกนำออกแสดงที่โรงละคร เตอัทร์-ลีริก (Théâtre-lyrique) ซึ่งเป็นผลงานที่สร้างมาจากบทประพันธ์โศกนาฏกรรมของเกอเทอ เป็นเรื่องราวของหญิงสาวชื่อ มาการิท ที่ถูกล่อลวงโดยชายแก่ชื่อ เฟาสท์ ผู้ซึ่งขายวิญญาณของตนให้แก่ ซาตาน ด้วยบทเพลงที่ยอดเยี่ยม รวมถึงบทร้องของ เมฟิสโต เลอโวดอร์ (วัวทองคำ) และบทร้องของ มาการิท แลร์เดอบีชู (บทเพลงแห่งเพชรพลอย) บทร้องของ แอร์เจ ชื่อลากัสตาฟีโอเร และเพลงประสานเสียงของเหล่าทหารจากบัลเลต์ชื่อ นุยเดอวาลเปอร์จี ทำให้อุปรากรเรื่อง เฟาสท์ประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลาย ด้วยการเปิดการแสดงถึง 70 รอบในปีแรก และในปี พ.ศ. 2410 เขาก็ได้นำอุปรากรเรื่อง โรมิโอกับจูเลียต จากบทประพันธ์ของเชกสเปียร์ ออกแสดง ซึ่งมีบทร้องที่โด่งดัง ได้แก่เพลงวอลทซ์ของจูเลียต เฌอเวอวีฟวร์ (ฉันอยากมีชีวิตอยู่) และบทร้องเสียงเทนเนอร์ ชื่อเพลง ลามูร์ ลามูร์ (ความรัก ความรัก)

เบลา บาร์ต็อก

ประวัติ
มารดาของบาร์ต็อกได้สอนดนตรีให้แก่เขาตั้งแต่วัยเด็ก ซึ่งเขาได้เปิดตัวในฐานะนักเปียโนตั้งแต่อายุเพียงสิบปี ที่สถาบันดนตรีหลวงแห่งบูดาเปสต์ เขาได้พบกับ โซลทาน โคดาลี และต่อมา ทั้งคู่ร่วมกันรวบรวมและสะสมดนตรีพื้นบ้านในท้องถิ่น ก่อนหน้านั้นดนตรีพื้นบ้านฮังการีในทัศนะของบาร์ต็อกมีพื้นฐานมาจากทำนอง เพลงของพวกยิปซี ที่คีตกวีเอก ฟร้านซ์ ลิซท์ นำมาเรียบเรียงใหม่ และในปี พ.ศ. 2446 (ค.ศ. 1903) เขาได้ประพันธ์ผลงานชิ้นสำคัญสำหรับวงดุริยางค์ ที่มีชื่อว่า Kossuth ในขณะที่พำนักอยู่ที่เมืองแมนเชสเตอร์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2450 (ค.ศ. 1907) ถึงปี พ.ศ. 2477 (ค.ศ. 1934) เขาได้เรียนเปียโน ที่วิทยาลัยดนตรีหลวงแห่งบูดาเปสต์ ในปี พ.ศ. 2450 เขาได้ประพันธ์บทเพลงพื้นบ้านฮังการี 3 เพลง และในปี พ.ศ. 2451 (ค.ศ. 1908) เขาได้ประพันธ์บทเพลงสำหรับวงควอเต็ตบทแรก

ปีเตอร์ อิลิช ไชคอฟสกี

ประวัติ
ไชคอฟสกีเกิดในครอบครัวผู้มีอันจะกิน ชีวิตของเขาเต็มไปด้วยความขัดแย้งระหว่างความหรูหราและการอดมื้อกินมื้อ ข่าวอื้อฉาว และความต้องการเป็นที่ยอมรับ เขาได้รับการศึกษาจากวิทยาลัยดนตรีแห่งนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ภายใต้การดูแลของอันทอน รูบินสไตน์ จากนั้นถูกเรียกให้ไปเป็นครูสอนวิชาเรียบเรียงเสียงประสานให้แก่น้องชายของรูบินสไตน์ที่กรุงมอสโก ที่มอสโกนี่เองที่เขาได้ประพันธ์ผลงานสำคัญหลายชิ้น เป็นต้นว่าซิมโฟนีหมายเลขหนึ่ง ชื่อ ความฝันในเหมันตฤดู เขาสมรสในปี พ.ศ. 2420 (ค.ศ. 1877) ด้วยความมุ่งมั่นที่จะรักษาความขัดแย้งภายในตนว่าเขาเป็นพวกรักร่วมเพศ แต่ความล้มเหลวของชีวิตแต่งงาน ที่เป็นที่โจษจันว่าอยู่กันอย่างไร้ความรักกับเจ้าสาวที่เป็นศิษย์ของเขาเอง ทำให้เขาเกือบฆ่าตัวตายสำเร็จ อารมณ์ของเขามั่นคงขึ้นในปี พ.ศ. 2423 (ค.ศ. 1880) เมื่อเขาได้ออกเดินทางไปทั่วทวีปยุโรป ประเทศอิตาลีได้สร้างแรงบันดาลใจให้เขาประพันธ์ผลงานหลายชิ้น รวมทั้งบทเพลงชื่อ คราพริชิโอ อิตาเลียน (capriccio italien) เขาประสบความสำเร็จหลายครั้งและได้พบปะกับคีตกวีเลื่องชื่อร่วมสมัย เป็นต้นว่า โยฮันเนส บราห์ม แอนโทนิน ดโวชาค ฯลฯ เขาเดินทางไปถึงสหรัฐอเมริกาเพื่อเปิดการแสดง ไชคอฟสกีเสียชีวิตในปีพ.ศ. 2436 (ค.ศ. 1893) ด้วยอหิวาตกโรคแต่บางกระแสกล่าวว่าเขาถูกบังคับให้ดื่มยาพิษฆ่าตัวตาย จากข้อหารักร่วมเพศ
เพลงของเขาเป็นสะพานเชื่อมระหว่างดนตรีตะวันตกกับดนตรีรัสเซีย ด้วยการนำเสนอแบบร่วมสมัย ซึ่งรวมถึงคีตกวีโมเดสต์ มูสซอร์กสกี้ และ กลุ่มคีตกวีทั้งห้า ซึ่งเขาได้สร้างมิตรภาพกับพวกเขาเหล่านั้นไว้ด้วย

ฟรันซ์ ชูแบร์ท

ประวัติ
ฟรันซ์-เพเทอร์ เกิดที่เมืองลิชเทนทัล (Lichtenthal) ใกล้กับกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย เมื่อปี พ.ศ. 2340 (ค.ศ. 1797) บิดาของเขา ฟรันซ์-เธโอดอร์ เป็นครูโรงเรียนมัธยม ได้สอนให้เขาเล่นไวโอลินเป็นเครื่องดนตรีชิ้นแรก ในขณะที่อิกนาซ (Ignaz) พี่ชายได้สอนเปียโนให้แก่เขา ระหว่างปี พ.ศ. 2351 ถึง พ.ศ. 2356 (ค.ศ. 1808 - 1813) เขาได้เป็นนักร้องในวงประสานเสียงประจำวิหารหลวงแห่งกรุงเวียนนา และได้เข้าเรียนที่โรงเรียน Konvitk (โรงเรียนฝึกหัดนักร้องเพื่อวิหารและราชสำนัก) เขาจึงได้เป็นศิษย์ของอันโตนีโอ ซาลิเอรี (Antonio Salieri) ผู้อำนวยการวงดนตรีประจำราชสำนัก
ระหว่างช่วงเวลาที่เขาเข้ารับการศึกษาที่นี่ เขาได้เริ่มประพันธ์เพลง โดยเริ่มจากบทเพลงสำหรับเปียโนตั้งแต่ปี พ.ศ. 2353 (ค.ศ. 1810) ต่อมาก็แต่งเพลงสำหรับวงสตริงควอเต็ตที่ใช้เครื่องสายอย่างน้อยแปดชิ้น รวมถึงเพลงโหมโรง รวมทั้งบทเพลงประเภทอื่น ๆ ในปี พ.ศ. 2356 (ค.ศ. 1813) เขาได้รับอิทธิพลอย่างมากจากโวล์ฟกัง อะมาเดอุส โมซาร์ท ในการประพันธ์ซิมโฟนี สองปีต่อมาจึงได้ประพันธ์อุปรากรเรื่องแรก, เพลงสวดบทแรก และผลงานชิ้นเอกของเขาที่เป็นเพลงร้อง (Lied) ชื่อเพลง Marguerite au rouet จาก Gretchen am Spinnrade

 

อานโตนิน ดโวชาค

ชีวประวัติและผลงาน
บิดาของดโวชากเป็นเจ้าของโรงเตี๊ยมและโรงฆ่าสัตว์ของหมู่บ้าน ดโวชากต้องออกจากโรงเรียนเมื่ออายุ 11 ปี เพื่อฝึกหัดอาชีพของบิดา แต่บิดาก็รู้ถึงความสามารถทางดนตรีที่โดดเด่นของบุตรชายอย่างรวดเร็ว และในปี พ.ศ. 2396 (ค.ศ. 1853) ได้ส่งเขาให้ไปอยู่กับลุงที่เมืองซโลนิซ ที่ซึ่งดโวชากได้เรียนภาษาเยอรมัน อันเป็นภาษาภาคบังคับของทางการออสเตรีย และได้พัฒนาความรู้ทางวัฒนธรรมดนตรี และได้เข้าร่วมวงดนตรีของหมู่บ้าน
เขาได้เข้าเรียนที่โรงเรียนในเมืองคาเมนิซ ในปี พ.ศ. 2400 (ค.ศ. 1857) เขาได้รับการตอบรับให้เข้าเรียนในโรงเรียนสอนออร์แกนแห่งกรุงปราก ที่ซึ่งเขาพำนักอยู่ถึงปี พ.ศ. 2402 (ค.ศ. 1859) จากนั้น ดโวชากก็ได้เข้าร่วมวงดุริยางค์ของโรงละครแห่งชาติที่กรุงปรากและเริ่ม ประพันธ์เพลง เขาประสบผลสำเร็จครั้งแรกจากการประพันธ์เพลงศาสนา ชื่อ ฮิมนุส ในปี พ.ศ. 2416 (ค.ศ. 1872) และได้รับตำแหน่งผู้จัดการแสดงดนตรีของโบสต์นักบุญอัลดาเบิร์ด

http://th.wikipedia.org/wiki/รายนามนักดนตรีสากล

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น